วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Moore's law คืออะไร



                  - กฎของมัวร์ หรือ Moore’s Law คือ กฏที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว มีความว่า จํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในทุกๆสองปี
                  - Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้ง Intel ซึ้งได้อธิบายแนวโน้มไว้ในรายงานของเขาในปี 1965 จึงพบว่ากฎนี้แม่นยํา อาจเกิดขึ้นเนื่องจาก อุตสาหกรรม semiconductor นํากฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผน พัฒนาอุตสาหกรรมได้ moore's law เป็น ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจำนวนของทรานซิกเตอร์ ต่อตารางนิ้วบน แผงวงจรรวม มีสองเท่าทุกปีตั้งแต่วงจรรวมถูกคิดค้น Moore predicted that this trend would continue for the foreseeable future. มัวร์ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้ ในปีถัดไป, การก้าวชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ความหนาแน่นของข้อมูลได้เท่าประมาณทุก 18 เดือน
                   - กอร์ดอน มัวร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์
 (Moore’s law) ขึ้น ซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม



กฎของมัวร์ (Moore's Law)
                        - ในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที ่ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า "ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ

                         - พ.ศ. 2508 อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวได้แพร่หลาย มีบริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจรอิเล็กทรอนิกส์ กว้างขวางขึ้น มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรมการสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์ เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต ทรานซิสเตอร์แบบ planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ เทคโนโลยีแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐาน พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์ 

                 คําว่า “ กฏของมัวร์ ” นั้นถูกเรียกโดยศาสตราจารย์ Caltech นามว่า Carver Mead
ซึ่งกล่าวว่าจํานวนทรานซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆหนึ่งปี ในช่วงปี 1965 ต่อมามัวร์จึงได้
เปลี่ยนรูปกฎ เพิ่ขึ้นสองเท่าในทุกๆสองปี ในปี 1975

รหัสแทนข้อมูล


รหัสแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์

ความหมายของรหัสแทนข้อมูล
                    รหัสแทนข้อมูล หมายถึง รหัสที่ใช้แทนตัวอักขระ ซึ่งประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข หรือสัญลักษณ์พิเศษอื่น ๆ ที่ใช้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพราะว่าข้อมูลที่เก็บไว้ในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์จะแทนด้วยรหัสเลขฐานสองที่มีเลข ๐ กับ ๑ วางเรียงกัน

ซึ่งรหัสข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ คือ
         1. รหัสภายนอกเครื่อง (External Code) หมายถึง รหัสที่ใช้สำหรับการบันทึกข้อมูลที่อยู่ภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น การบันทึกข้อมูลบนบัตรเจาะรู โดยใช้สัญลักษณ์การเจาะรูแต่ละแถวแทน
ข้อมูล 1 ตังอักษร
         2. รหัสภายในเครื่อง (Internal Code) หมายถึง รหัสที่ใช้แทนข้อมูลที่ถูกอ่านและบันทึกอยู่ในหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งรหัสที่ใช้แทนข้อมูลภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหลายรูปแบบ ดังนี้
                 รหัสบีซีดี                 รหัสแอบซีดิก                    รหัสแอสกี้                รหัสยูนิโคด

รหัสแอสกี้ (ASCII)
               รหัส ASCII (American Standard Code for Information Interchange)
รหัสแอสกี เป็นรหัสที่นิยมใช้กันมาก จนสามมารถนับได้ว่าเป็นรหัสมาตรฐานที่ใช้ใน
การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) แทนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ ๒๕๖ ตัว เมื่อใช้แทนตัวอักษร
ภาษาอังกฤษแล้วยังมีเหลืออยู่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ.
ได้กำหนดรหัสภาษาไทยเพิ่มลงไปเพื่อให้ใช้งานร่วมกันได้ ตามตารางที่ ๔.๑
 การแทนค่าแทนค่าด้วยตัวเลขแนวตั้ง(b๗ – b๔)ก่อน แล้วตามด้วยตัวเลขแนวนอน
(b๓ – b๐) เช่น ก ๑๐๑๐๐๐๐๑ และ A ๐๑๐๐๐๐๐๑ 
ตารางที่ ๔.๑  รหัส ASCII  แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษและภาษาไทย

                                  บิตที่ ๔ ถึง ๗ เป็นส่วนที่ใช้กำหนดประเภทของตัวอักขระ


๐๐๑๐       เครื่องหมายต่าง ๆ


๐๐๑๑      ตัวเลขและเครื่องหมายต่างๆ


๐๑๐๐      A-O


๐๑๐๑      P-Z และเครื่องหมายต่าง ๆ


๐๑๑๐      a-o


๐๑๑๐      p-z และเครื่องหมายต่าง ๆ

บิตที่ ๐ ถึง ๓ เป็นรหัสแทนอักขระแต่ละตัวในกลุ่มนั้น

ตารางที่ ๔.๑  รหัส ASCII  แทนตัวอักษรภาษาอังกฤษและภาษาไทย


b7
0
0
0
0
0
0
0
0
1
1
1
1
1
1
1
1
b6
0
0
0
0
1
1
1
1
0
0
0
0
1
1
1
1
b5
0
0
1
1
0
0
1
1
0
0
1
1
0
0
1
1
b4
0
1
0
1
0
1
0
1
0
1
0
1
0
1
0
1
b3
b2
b1
b0
0
0
0
0
@
P
`
p
0
0
0
1
!
A
Q
a
q
0
0
1
0
"
B
R
b
r
0
0
1
1
#
C
S
c
s
0
1
0
0
$
D
T
d
t
0
1
0
1
%
E
U
e
u
0
1
1
0
&
F
V
f
v
0
1
1
1
'
G
W
g
w
1
0
0
0
(
H
X
h
x
1
0
0
1
)
I
Y
i
y
1
0
1
0
*
J
Z
j
z
1
0
1
1
+
K
[
k
{
1
1
0
0
,
L
\
l
|
1
1
0
1
-
M
]
m
}
1
1
1
0
.
N
^
n
~
1
1
1
1
/
O
_
o
฿

                ยูนิโคด (Unicode)

           ยูนิโคด Unicode) คือ มาตรฐานอุตสาหกรรมที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์แสดงผลและจัดการข้อความธรรมดาที่ใช้ในระบบการเขียนของภาษาส่วนใหญ่ในโลกได้อย่างสอดคล้องกัน ยูนิโคดประกอบด้วยรายการอักขระที่แสดงผลได้มากกว่า 100,000 ตัว พัฒนาต่อยอดมาจากมาตรฐานชุดอักขระสากล (Universal Character Set: UCS) และมีการตีพิมพ์ลงในหนังสือ The Unicode Standard เป็นแผนผังรหัสเพื่อใช้เป็นรายการอ้างอิง นอกจากนั้นยังมีการอธิบายวิธีการที่ใช้เข้ารหัสและการนำเสนอมาตรฐานของการเข้ารหัสอักขระอีกจำนวนหนึ่ง การเรียงลำดับอักษร กฎเกณฑ์ของการรวมและการแยกอักขระ รวมไปถึงลำดับการแสดงผลของอักขระสองทิศทาง รหัสยูนอโคด ซึ่งมีขนาด 16 บิต เป็นทางเลือกเพื่อใช้แทนค่าข้อมูล ซึ่งสามารถแทนค่าข้อมูลได้มากถึง 65535 สัญลักษณ์ และปัจจุบันรหัสยูนิโคด นี้ก็ได้ถูกนำมาใช้งานบนหลายระบบปฏิบัติการบนเครื่องพีซีด้วยกัน เช่น Windows 2000 , Windows XP และ OS/2 เป็นต้น


TAMRONG SUANDEE แทนด้วยรหัส ASCII ดังนี้
T= 0101 0100
A= 0100 0001
M= 0100 1101
R= 0101 0010
O= 0100 1111
N= 0100 1110
G= 0100 0111
                    SPACE (ช่องว่าง)0010 0000
S= 0101 0011
U= 0101 0101
A= 0100 0001
N= 0100 1110
D= 0100 0100
E= 0100 0101
E= 0100 0101